“หยุดให้ท้ายพันธมิตร”
คำ ผกา
มติชน สุดสัปดาห์ ปีที่ 29 ฉบับ 1473
ปฏิกิริยาของแพทย์หลายสถาบันที่มีไปในทิศทางเดียวกัน ย่อมมิใช่การตอบโต้ด้วยอารมณ์เป็นแน่ เพราะแพทย์เหล่านี้มีวุฒิภาวะมากกว่านักการเมืองที่มากล่าวหามากมายนัก…
เวลาที่เด็กกระทำผิด ผู้ใหญ่อาจดุเด็กว่า “เดี๋ยวตีให้ตายเลย” แต่ก็ไม่เคยมีใครตีเด็กจนตายดังที่พูดสักราย เพราะผู้ใหญ่เพียงมีเจตนาสั่งสอนให้เด็กรู้ว่าตนกระทำผิดและให้มีความสำนึก เพื่อจะได้ไม่ทำผิดอีก…
เจตนารมณ์ที่สำคัญของหลายวิชาชีพในสังคม รวมทั้งแพทย์คือการลงโทษทางสังคม เพื่อเป็นการประกาศว่าไม่เห็นด้วยและต้องการประณามการกระทำที่ป่าเถื่อนและเป็นอนารยะของบุคคลเหล่านั้น มิได้มี “เจตนาฆ่า” อย่างที่บางคนพยายามยัดเยียดข้อหาให้…
แพทย์เหล่านั้นย่อมตระหนักในหน้าที่และมีคุณธรรมพอที่จะแยกแยะถูกผิด คงมิได้มองว่า “ตำรวจและนักการเมืองเลว” บางคน มีความเป็นมนุษย์น้อยกว่าที่จะให้การรักษาช่วยชีวิตเมื่อมีความจำเป็น แม้ว่าในทางกลับกัน ฝ่ายที่เข่นฆ่าประชาชนจะคิดกับประชาชนเช่นนั้นก็ตาม…
ว่าการประกาศไม่รักษาตำรวจและนักการเมืองเลว เป็นเพียง “สัญลักษณ์” ของการ “รังเกียจ” และ “ขยะแขยง” ต่อการใช้ความรุนแรง…
พวกเขาไม่ยอมรับรู้การซื้อเสียง ติดสินบนกลไกการเลือกตั้งและกระบวนการยุติธรรม อันทำให้ได้รับเสียงข้างมากตามระบอบ “ธนาธิปไตย” พวกเขาท่องได้เพียงวาจาอมตะว่า “พวกเขามาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01141051§ionid=0130&day=2008-10-14
“ถ้าเราชะลอระบบเศรษฐกิจลง ชะลองบประมาณ 3 ปีข้างหน้า ไม่มีงบซื้อที่ดิน สิ่งก่อสร้าง มีแต่งบเงินเดือน ค่าใช้สอย งบไม่ต้องขาดดุล และเสริมเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องกลัวคนรวย เศรษฐีหยุดเอากำไรเพียง 3 ปี อีกอย่างก็ยึดทรัพย์ และประหารชีวิตนักการเมือง 4-5 คน ยึดทรัพย์นักการเมืองสักล้านล้านบาท เพื่อเอามาเป็นค่าใช้จ่าย เมื่ออาชญากรการเมืองถูกประหาร จะได้รู้หมู่รู้จ่า” ศ.ดร.ชัยอนันต์ กล่าว
ผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2551 (ขีดเส้นใต้โดยผู้เขียน)
ก่อนจะแสดงปฏิกิริยาต่อบางตอนของบทความ และบทพูดที่ยกมาข้างต้น ฉันจะย้อนกลับไปที่ความรู้สึกหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม
ถามว่ารู้สึกอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ฉันพยายามที่จะไม่ตอบคำถามนี้ทันทีหลังจากเกิดเหตุการณ์ เพราะมันง่ายมากที่จะด่วนประกาศออกไปว่า “รัฐบาลทรราชย์ฆ่าประชาชน” ดังที่กลายเป็นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์บางฉบับ และคำว่า “รัฐบาลทรราชย์” นั้นก็อยู่คู่กับประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาโดยตลอดจนกระทั่งเราขึ้นป้ายให้รัฐกลายเป็นผู้ร้ายตลอดกาล ส่วนประชาชนนั้นคือเหยื่อ คือผู้อ่อนแอที่มักจะถูกข่มเหงโดยรัฐอย่างไม่ชอบธรรมเสมอมา (แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น แต่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นอย่างนั้นเสมอไปทุกรณี)
เหตุผลอีกประการหนึ่งคือความขัดแย้งอันแหลมคมที่เกิดขึ้น ณ สยามประเทศ เวลานี้ มันเกิดจากเหตุที่มองด้วยตาเปล่าของสามัญชนอย่างเราไม่เห็นเว้นแต่ใครจะมีกล้องจุลทรรศน์จึงจะเข้าไปส่องวินิจฉัยจนเห็นเหตุเหล่านั้นได้ (และดูเหมือนนักข่าวต่างประเทศจะมีกล้องจุลทรรศน์ที่ว่า เราจึงได้พอได้อาศัยอ่านข่าวและบทความจากหนังสือพิมพ์อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น อเมริกา ซึ่งให้ทั้งข้อมูลและความคิดเห็นที่กระจะกระจ่างกว่าข่าวในหนังสือพิมพ์ไทยหลายขุม)
กลับมาที่ความรู้สึก แน่นอนว่าทุกคนตระหนกต่อการสูญเสียชีวิต ร่างกาย แขนขา ดวงตาของคนที่คิดว่าได้ออกไปกู้ชาติ หรือขจัดการเมืองชั่วๆออกไปจากเมืองไทย เห็นใจตำรวจที่ออกไปทำหน้าที่ของตนเอง และหลายคนบาดเจ็บ และ เสียชีวิต ข่าวที่บอกว่าตำรวจคนหนึ่งถูกแทงด้วยด้ามธงจนทะลุกลางหลังยังตามหลอกหลอน (อย่าลืมว่าฉันเป็นผู้หญิงขวัญอ่อน)อยู่จนถึงวันนี้ และหลอนยิ่งขึ้นเมื่อยังมีคนพยายามจะบอกว่า กลุ่มผู้ชุมนุมของพันธมิตรเป็นกลุ่มคนที่มาชุมนุมอย่างสันติและปราศจากอาวุธ
เราจำเป็นต้องมาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่าท่ามกลางการเรียกร้องให้ใช้ “สันติวิธี” (ที่ตอนนี้เกือบจะมีความหมาย – หรือไม่มีความหมาย- พอๆกับคำว่า “รักนะ จุ๊บ จุ๊บ” ที่วัยรุ่นชอบพูดกัน) ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่กลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนนั้น เครื่องมือสำคัญที่ใช้กันอยู่ตลอดเวลาคือความรุนแรง โดยเฉพาะความรุนแรงของถ้อยคำที่ใช้ ปฏิเสธไมได้เลยว่าในการพูดบนเวทีพันธมิตรฯ นั้น คำที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือคำประเภท ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ (ล่าสุดพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถึงกับใช้คำว่า สัตว์นรก)
ไม่เพียงแต่ความรุนแรงอันเกิดจากการใช้ถ้อยคำหยาบคาย ยังมีความรุนแรงอันเกิดจากการใส่ร้ายป้ายสีคนที่ไม่เห็นด้วยไม่กับพันธมิตร โดยเฉพาะนักวิชาการที่วางตัวเป็นกลางและออกมาวิจารณ์พันธมิตร ต่างก็โดนแกนนำพันธมิตรฯ กระซากด้วยคำพูดที่รุนแรง หยาบคาย อาจารย์ ภูวดล ทรงประเสิรฐ นั้นออกมาด่าเพื่อร่วมอาชีพเสียๆหายราวกับหมาบ้า ที่สำคัญเรื่องที่ออกมาด่าล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใส่ไคล้ จนถึงขั้นโกหก หลอกลวงทีเดียว
เชื่อว่าต่อไปนี้ใครก็ตามที่ออกมาวิจารณ์พันธมิตร นอกจากจะโดนกล่าวหาว่าเป็นสาวกทักษิณ รับเงินทักษิณ แล้ว รายการต่อไปคือโดน “ซ้อเจ็ด” ผู้อ้างว่าสถิตย์ อยู่ ณ ใต้เตียงของทุกคนในประเทศไทยออกมาเขียนถึงพฤติกรรมทางเพศ ความสำส่อน การผิดผัวผิดเมีย และอีกสารพัดความลากมกอุจาดเท่าที่คนอย่างซ้อเจ็ดจะจินตนาการขึ้นได้ ขอเพียงเพื่อจะดิสเครดิตศัตรูทางการเมือง
หากว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม จะทำให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน จิตใจ ฉันคิดว่าพวกเราทุกคนต่างต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างน้อยที่สุดในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาพวกเราต่างพากัน “ให้ท้ายพันธมิตร” ด้วยการ “เงียบ” แม้ไม่เห็นด้วยก็ไม่ยอมที่จะออกมาพูดดังๆเพราะกลัวจะเปลืองตัว และกลัวที่จะถูกมองว่าเป็นฝ่ายของทักษิณหรือเป็นพวกด้อยการศึกษาถูกหลอกล่อโดยนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยเก่า กลัวจะถูกมองว่าเป็นพวกหน่อมแน้มไร้เดียงสาไม่รู้เท่าทันนักการเมือง
น่าสลดใจยิ่งกว่านั้น คนที่ตาย คนที่บาดเจ็บในเหตุการณ์ ล้วนแต่เป็นคนเล็กๆที่เป็นเหยื่อของอุดมการณ์ที่บรรดาแกนนำปลุกปั่นขึ้นมา และถึงบัดนี้ ทั้ง สนธิ จำลอง สมศักดิ์ สมเกียรติ สุริยะไส ก็มีความสุขดีท่ามกลางกองเลือดสาวกของพวกตน และไม่มีทีท่าจะสำนึกผิดแม้แต่น้อยต่อการสร้างสถานการณ์พาคนไปตาย เพียงเพื่ออยากปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงเพื่อเป็นเงื่อนไขให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร ร้ายไปกว่านั้นยังพยายามที่จะป่าวประกาศว่ารัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมเพราะตั้งอยู่บนกองเลือดของประชาชน หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านก็บอกว่า จะไม่ฝ่ากองเลือดไปประชุมสภาฯ
เป็นอันว่า ต่างฝ่ายต่างใช้เลือดคนตายเป็นบันไดป่ายปีนไปหาผลประโยชน์ของตนอย่างเมามัน
ไม่เพียงแต่อ้างเอา “เลือด” ฝ่ายพันธมิตรฯ ยังอ้างคำว่า “ประชาชน” ซึ่งสำหรับคนรู้เรื่องประชาธิปไตยชั้นแค่ประถม (อย่างที่เคยเขียนไปแล้ว) อย่างฉันเชื่ออย่างไร้เดียงสาว่าคนที่มีความชอบธรรมจะอ้างคำว่าประชาชนได้มีแต่ตัวประชาชนเองเท่านั้นและช่องทางที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้คือเรายืนยันเสียงของเราผ่านการเลือกตั้ง และผ่านการจัดตั้งเครื่อข่ายกลุ่มผลประโยชน์เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกรัฐสภาเพื่อคานอำนาจของคนที่ได้รับเสียงของเราไปแล้วกลับใช้เสียงนั้นไปในทางที่มิชอบ
คนที่ยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย ทั้งหันหลังให้กับรัฐประหารไม่ว่าจะทางตรงหรืออ้อมของเราทุกวันนี้ไม่ได้โง่ถึงขนาดจะไม่ระแวดระวังต่อสิ่งที่เรียกว่า ทรราชย์เสียงข้างมาก หรือ the tyranny of the majority อันเป็นคำอธิบายอันโด่งดังของ Alexis de Tocqueville (1805-59) -ระบุชื่อและช่วงชีวิตของเจ้าของคำพูด เพื่อระลึกว่าโลกเขาตระหนักถึงจุดอ่อนประชาธิปไตยเสียงข้างมากมานานนักหนา ไม่ต้องรอให้แกนนำพันธมิตรมาชี้หน้าด่าคนไทยว่าไม่เข้าใจ “แก่น” ประชาธิปไตยและงมงายกับการเลือกตั้ง – และเพราะเราตระหนักในปัญหานั้น สิบกว่าปีที่ผ่านมาหลังจากที่เรามีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง เราจึงพยายามสร้างกลไกของระบบการตรวจสอบการทำงานของรัฐ เราจึงยอมรับการเมืองที่เคลื่อนไหวนอกรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของสมัชชาคนจน , เครือข่ายสลัม, เครือข่ายป่าชุมชน, เครือข่ายผู้ติดเชื้อ ฯลฯ (แต่ไม่ใช่ม็อบที่เต็มไปด้วยการปลุกระดมด้วยคำพูดโกหกหลอกลวงแถมพ่วงไสยศาสตร์ทั้งยังกระหายเลือดอย่างการชุมนุมของพันธมิตรแน่ๆ) แม้จะเตาะแตะต้วมเตี้ยม แต่พวกเราก็กำลังเรียนรู้
บทความ “เมื่อหมอไม่รักษาคนเลว” ของนพ. เกษม ตันติผลาชีวะ ที่พยายามจะแก้ต่างให้กับการออกแถลงการณ์ของแพทย์บางสถาบันที่ประกาศไม่รับรักษาตำรวจ ว่าเพื่อเป็นการลงโทษทางสังคมและเป็นเพียงการแสดงเชิงสัญลักษณ์ เหมือนที่แม่ดุลูกว่า “จะตีให้ตาย” แต่ไม่หมายความว่าจะตีลูกจนตายจริงๆ
คุณหมอขา…หนูนอนไม่ค่อยจะหลับ…เอ๊ย คุณหมอคะ คำพูดอย่าง “จะตีให้ตาย” นั้นเป็นคำอุปมาอุปไมย เป็นโวหาร อย่างเดียวกับคำพูดที่ว่า “รักคุณเท่าฟ้า” คงไม่มีคนบ้าที่ไหนเชื่อว่า การบินไทยรักคุณเท่ากับพื้นที่ของผืนฟ้าจริงๆ เช่นเดียวกับคำพูดที่ว่า “อิ่มจนท้องจะแตก” และโวหารที่ทุกคนที่อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกันสามารถถอดรหัสได้ตรงกันหมดนี้คงไม่อาจเอาไปเทียบได้กับแถลงการณ์ที่หมอบอกว่าจะบอยคอตตำรวจด้วยการไม่รับรักษา เพราะมิเช่นนั้นแถลงการณ์ หรือการแถลงจุดยืนๆใดก็ตามในสังคมนี้ก็คงมีไว้เพื่อขำๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์อย่างนั้นหรือ กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์บอยคอตคนใส่เฟอร์นั้นก็ทำไปขำๆเอง ใครเขาบอยคอตกันจริงเล่า อย่างนั้นหรือ?
ความจริงใจประการเดียวที่ฉันหาได้จากบทความของนพ. เกษมคือ ชื่อบทความที่บอกว่า “เมื่อแพทย์ไม่รักษาคนเลว” และอีกหลายข้อความที่ฉันขีดเส้นใต้ไว้อันสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติอันไม่ปกติของคุณหมอ เช่นการอวดอ้างว่า แพทย์ย่อมมีวุฒิภาวะมากกว่านักการเมือง หรือความพยายามในการยัดถ้อยคำอย่าง “ตำรวจและนักการเมืองเลว” ลงไปในบทความ หากคุณหมอมีวุฒิภาวะจริงย่อมตระหนักว่า คนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นมักจะไม่ตัดสิน ผิด ถูก ดี เลวกันอย่างหยาบๆ ดังเช่นที่คุณหมอเขียนมา แม้แต่นักโทษที่อยู่ในคุกเรายังไม่อาจไปชี้หน้าว่าพวกเขาเป็นคนเลว เพราะคนเราย่อมกระทำการขัดต่อกฏหมายด้วยเหตุผลหลายร้อยหลายพันประการ ทั้งนาเห้นใจและไม่น่าเห็นใจ และอาจเป็นด้วยการพิพากษาอย่างหยาบนี้เองที่ทำให้คุณหมอเชื่อว่า อะไรก็ตามที่เป็นความรุนแรงจากรัฐนั้นถือเป็นความเลว แต่อะไรก็ตามที่เป็นความรุนแรงอันมาจากฝูงชน (ที่อ้างว่าทำในนามของประชาชน) ถือเป็นความดี เป็นการต่อสู้เพื่อพิทักษ์บ้านเมืองไปเสียหมด
หากทักษิณจะมีความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ ฉันคิดว่าความผิดนั้นคือเขาทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกลียดชังเขาเสียจนสามารถทิ้งหลักการ เหตุผล ปัญญา และใช้แต่อารมณ์แห่งความเกลียดชังนั้นผลักดันให้พูด และทำ ในสิ่งที่ไม่น่าจะพูดและไม่น่าจะทำ บนฐานของมรดกทางอุดมการณ์ที่ชนชั้นนำฝ่ายขวาไทยที่พยายามสร้างภาพประชาธิปไตยไร้สมรรถภาพ (สงสัยต้องเอาไวอะกร้าช่วย) บวกภาพนักการเมืองฉ้อฉล ต่ำช้า สุดท้ายมรดกที่เราต่างดื่มกินกันอยู่ทุกวันนี้คือ ความไม่ไว้ใจระบอบการเลือกตั้งและลึกๆแล้วโหยหาการปกครองที่เข้มแข็งเด็ดขาดพร้อมอาญาสิทธิ์ของผู้ปกครองที่มาในมาดของผู้มีบุญและปลอดซึ่งผลประโยชน์ทั้งปวง แต่ถามหนึ่งคำถามว่า ในโลกใบนี้มีคนที่มีชีวิตอยู่โดยปราศจากซึ่งผลประโยชน์ใดๆจริงหรือ ขอโทษ แม้แต่ผีที่ศาลพระภูมิยังเห็นแก่อาหารเซ่นไหว้และของแก้บน นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่ขี้ก็เหม็นเหมือนกันทุกคนจะปลอดจากมลทินและผลประโยชน์
และเพื่อจะไม่เป็นการ “ให้ท้ายพันธมิตร” ด้วยการนิ่งเฉย ฉันได้ยกคำพูดของ ชัยอนันต์ สมุทวานิช นักวิชาการที่เคยน่านับถือแต่ก็ต้องสูญสิ้นความนับถือ (อย่างน้อยจากคนที่ไม่มีความหมายคนหนึ่งอย่างฉัน) เพราะไปยืนข้างพันธมิตรราวกับเป็นนักรัฐศาสตร์ไม่ที่รู้จัก กอไก่ ขอไข่ (แต่ฉันเชื่อว่า ชัยอนันต์รู้ว่าตนเองทำอะไร และรู้ด้วยว่าอุดมการณ์ที่ตนเองไปสนับสนุนอยู่นั้นฉ้อฉลต่อคนส่วนมากของประเทศแค่ไหน และนั่นทำให้เรายิ่งสูญความนับถือต่อเขา)
ฉันไม่อยากจะเชื่อว่านักรัฐศาสตร์ชั้นนำของเมืองไทยสามารถพูดจาชี้ทางสว่างให้กับปัญหาของการเมืองไทยว่าแก้ได้ง่ายๆ เพียงจับนักการเมืองเลวไปประหารชีวิต! มีแต่เด็กที่ยังดูดหัวแม่โป้งตัวเองอยู่เท่านั้นที่เชื่อในนิทานธรรมะปราบอธรรม เราเป็นฮีโร่มาช่วยโลกด้วยการจับสัตว์ประหลาดมาฆ่าทิ้งให้หมด แล้วทุกอย่างจะดีเอง
มีแต่เผด็จการล้าหลังเท่านั้นที่เชื่อเรื่อง “หนักแผ่นดิน” และเชื่อว่า แผ่นดินจะสูงขึ้น เบาลง หากจับคน (ที่เราคิดว่า)ชั่วไปฆ่าทิ้งเสีย อาจารย์ชัยอนันต์คงอยากให้ฮิตเลอร์คืนชีพกระมัง จะได้มาช่วยสร้างค่ายกักกันนักการเมืองเลว
ถามว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับเหตุกาณ์ 7 ตุลาฯ คำตอบคือ รู้สึกว่า จะต้องกล้ามากขึ้นที่จะหยุดให้ท้ายพันธมิตรอย่างเปิดเผย และกล้าที่พูดถึงคนที่ถูกสังคมเชิดชูเสียจนไม่มีใครกล้าแตะต้อง ไม่ว่าจะเป็นราษฎรอาวุโส ที่นับวันจะเลอะเลือนเลื่อนเปื้อน หรือ นักรัฐศาสตร์ชั้นนำที่นำความผิดหวังมาสู่เรา
หวังว่าจะไม่มีใครออกไปตายสังเวยกลุ่มที่ใช้ชื่อเพื่อประชาธิปไตยแต่เรียกร้องให้โยนระบบการเลือกตั้งทิ้ง (เราเรียการเมือง30-70ว่าระบบการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอย่างนั้นหรือ?) และกำลัง exploit คำว่าประชาชนอย่างไร้ความละอาย
เห็นด้วยกับ คำ พกา มาก เพราะเป็นการวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมา อย่างคนที่มีการศึกษาและรักแผ่นดินเกิด ขอเป็นกำลังใจให้
อ่านแล้วเห็นด้วยครับผม
คำ ผกา
กลับไปแก้ผ้าถ่ายรูปน่าจะดีกว่านะ
Unless the question is clear and sparks an interest, it is hard to read even a single question. ,
ต้องวิเคราะห์ทั้ง 2 สี ที่พาคนไปตาย
ตอนแดงเผาเมือง ????